วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มารี อองตัวเนต “กุหลาบแห่งแวร์ซาย”

16 ตุลาคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) ปิดฉากชีวิตในแวร์ซายส์ของ มารีอองตัวเนต (Marie Antoinette) ราชินีแห่งฝรั่งเศสที่ฝูงชนแสนเกลียดชัง

มาเรีย แอนโทเนีย โจเซปปา โจฮันน่า (Maria Antonia Josepha Johanna)ประสูติเมื่อ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1755 (พ.ศ. 2298) ณ กรุงเวียนนา (Vienna) เป็นธิดาองค์ที่ 15 ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1(Emperor Francis I) แห่งโรมัน ดยุคใหญ่แห่งแคว้นทัสคานี (แห่งราชสำนักลอเรนน์) กับสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซา (Empress Maria Theresa)แห่งออสเตรีย มารี อองตัวเนตดำรงพระยศเป็น กษัตริย์ แห่งฮังการี และราชินีแห่งแคว้นโบฮีเมีย อาร์คดัชเชสแห่งออสเตรีย (แห่งราชสำนักฮับสบูร์ก)



อาร์คดัชเชสมารี อองตัวเนต เติบโตขึ้นที่พระราชวังฮอฟบูร์ก (Hofburg Palace)ในกรุงเวียนนา และ ปราสาทชอนบรุนน์ พระนางใช้ชีวิตเจ้าหญิงแห่งฮังการีแบบอิสระ ถูกเลี้ยงดูมาแบบง่ายๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่เข้มงวดดังเช่นราชนิกูลในราชสำนักฝรั่งเศส ในด้านการศึกษานั้น พระนางอ่านออกเขียนได้เมื่ออายุเกือบสิบชันษา เขียนภาษาเยอรมันได้บ้าง พูดภาษาฝรั่งเศสได้เพียงน้อยนิด แต่ยิ่งถ้าเป็นภาษาอิตาเลียนแล้วแทบจะไม่ได้เอาเสียเลย ส่วนทางด้านศิลปะ พระนางได้หัดเล่นฮาร์ปซิคอร์ด กับคีตกวีชื่อดัง คริสตอฟ วิลบัลด์ กลุค และเรียนนาฏศิลป์ฝรั่งเศสกับโนแวร์

เมื่อเจริญพระชนพรรษาขึ้น เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1769 (พ.ศ. 2312) มาร์กีแห่งดูร์ฟอร์ต ก็ได้มาสู่ขอพระนางเพื่ออภิเษกกับมกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นหลานชายคนโตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่ทว่าการหมั้นในครั้งนั้นถูกต่อต้านจากกลุ่มคนจากฝ่ายฝรั่งเศส ถึงกับเรียกมารี อองตัวเนตว่า "ผู้หญิงออสเตรีย"



ภายหลังที่พระนางประกาศสละสิทธิ์ในการเป็นอาร์คดัชเชสของราชสำนักออสเตรีย ก็ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารฝรั่งเศส (พระเจ้าหลุยส์ที่ 16) ที่พระราชวังแวร์ซาย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1770 (พ.ศ. 2313) ท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึมไปด้วยกระแสต่อต้าน "ผู้หญิงออสเตรีย" ผู้นี้

ด้วยพระชันษาเพียง 16 ปี วุฒิภาวะในความเป็นสาววัยรุ่นของพระนาง ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอภิเษกเพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างฝรั่งเศส-ออสเตรีย การที่จะต้องปรับตัวจากการที่ถูกเข้มงวดในพระราชพิธี และขนบประเพณีแบบฝรั่งเศส การไม่ได้รับการยอมรับจากพสกนิกรและชนชั้นสูงในราชสำนัก รวมทั้งไม่ได้รับการเหลียวแลจากมกุฎราชกุมารเท่าใดนัก (กว่าทั้งคู่จะเริ่มมีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาอย่างแท้จริง ก็ล่วงเข้าปี พ.ศ. 2316)
และต้องยอมรับว่าแรงกดดันเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ ชีวิตซึ่งมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้พระนางเดินมาในเส้นทางที่กลายเป็นโศกนาตก รรมในเวลาต่อมา
ในแวร์ซายส์พระนางใช้ชีวิต สะดวกสบาย หรูหรา แสนสิ้นเปลือง จัดงานเลี้ยงที่ฟุ้งเฟ้อบ่อยครั้ง ตั้งวงพนันกับราชนิกุลด้วยเงินเดิมพันจำนวนมหาศาล สร้างความอิจฉาริษยาให้แก่นางสนมและราชนิกูลพระองค์อื่นๆอย่างมาก



แต่กับความเดียวดาย พระนางต้องพึ่งพาที่ปรึกษาเพียงจากจดหมายตอบโต้กับพระมารดา และท่านเค้าท์แห่ง แมร์ซี-อาร์จองโต ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำกรุงปารีส ซึ่งจดหมายเหล่านี้เองที่กลายเป็นข้อมูลสำคัญที่จะอธิบายช่วงชีวิตของมารี อองตัวเนตภายหลังการก้าวเข้ามาสู่ราชสำนักฝรั่งเศส

ภายหลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. 1774 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองราชย์ และพระนางมารี อองตัวเนต ได้ทรงขึ้นเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส (Queen of France and Navarre ) พระนางยังคงใช้ชีวิตในแวร์ซายที่แวดล้อมไปด้วยพระสหายสนิทที่เป็นผู้ทรงศักดินาจำนวนหนึ่ง อย่างฟุ้งเฟ้อกับสิ่งบันเทิงเริงรมย์เช่นเคย นอกจากนี้ ยังกล่าวกันว่าพระนางพยายามมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือพระมหากษัตริย์ เห็นได้จากการที่แต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีหลายคนตามพระทัย หรือไม่ก็จากคำแนะนำของพระสหายสนิท จึงไม่แปลกที่กระแสต่อต้านพระนางจะเริ่มก่อตัวขึ้น

กลุ่มคนที่ต่อต้านพระนาง ได้ใช้วิธีโจมด้วยการแจกใบปลิวกล่าวหาว่า
พระนางมีชายชู้ หรือแม้กระทั่งมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสตรีด้วยกัน ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่ว่าพระนางจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับกลุ่มที่ต่อต้าน แต่ทว่าก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1778 (พ.ศ. 2321) พระนางได้มีประสูติกาลพระธิดาองค์แรก มีพระนามว่า มารี-เทเรสแห่งฝรั่งเศสและต่อมาในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1781 (พ.ศ. 2324) ก็ได้ให้กำเนิดเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ มกุฎราชกุมาร และได้ได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สองเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1785 (พ.ศ. 2328) มีพระนามว่าเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ล ดำรงตำแหน่งดยุคแห่นอร์มงดี แต่ทว่าการมีประสูติกาลเหล่านี้ กลับนำปัญหามาให้พระนางตามมาด้วยถูกกล่าวหาว่า โอรสธิดานั้นไม่ได้มีเชื้อสายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถึงขนาดว่ามีเสียงร่ำลือว่าจะมีการพิสูจน์สายเลือดของโอรสธิดาพระนางยังมีเรื่องราวให้ผู้ที่ต่อต้านกล่าวถึงมากมาย ไม่ว่าจะการถูกกล่าวหาว่า พัวพันกับคดีกีเนส เรื่องอื้อฉาวในคดีสร้อยพระศอที่แม้ว่าพระนางจะไม่มีความผิดแต่ก็เสียพระเกียรติเป็นอันมาก การใช้จ่ายจำนวนมากในยามที่บ้านเมืองแร้นเเค้น ทั้งการใช้เงินจำนวนมากปรับปรุงพระตำหนักของพระนาง รวมทั้งเสียงประชดที่พระนางหลบไปใช้ชีวิตเลียนแบบธรรมชาติอย่างไร้เดียงสาที่พระตำหนักเปอติ ทรีอานง ที่สร้างเป็นหมู่บ้านชนบท มีฟาร์มขนาดเล็กในพระราชวังแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับพระนาง



การต่อต้านทวีความรุนแรงขึ้น มีการแจกจ่ายหนังสือต่อต่านระบอบกษัตริย์ ตั้งราคาพระเศียรของมารี อองตัวเนต อีกทั้งกล่าวว่าพระนางต้องการลอบวางระเบิดรัฐสภาและต้องการส่งทหารเข้ามาในกรุงปารีส ประชาชนที่อดยากและไม่พอใจในการใช้จ่ายเงินทองที่ฟุ่มเฟือยในราสำนัก ประชาชนที่อดอยากจึงลุกฮือบุกเข้าไปในพระราชวัง และตามตามประกบระหว่างทางที่บรรดาเชื้อพระวงศ์เดินทางหนีภัยกลับกรุงปารีส พร้อมกับขู่พระนางมารี อองตัวเนต ว่า จะใช้เสาโคมในกรุงปารีสแขวนคอพระนาง



ต่อมากลุ่มก่อการปฏิวัติบุกเข้าสู่ปารีส และสามารถจับกษัตริย์กับราชินีที่ได้หลบหนีไปได้ที่เมืองวาเรนน์-ออง-อาร์กอนน์ และได้นำตัวทั้งสองพระองค์กลับไปยังกรุงปารีส ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ต้องยอมรับระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์ต่างประเทศอย่างลับ ๆ ก็ไม่เป็นผล

แต่ความวุ่นวายยังไม่สงบลงง่ายๆ ประชาชนชาวฝรั่งเศสได้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจรัฐอีกครั้ง ความวุ่นวายเลวร้ายถึงขนาดมีการสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ ประชาชนกล่าวโทษว่าพระนางมารี อองตัวเนตเป็นผู้ทำให้เมืองหลวงนองไปด้วยเลือด และเรียกพระนางว่า "นางปิศาจ" หรือไม่ก็ "มาดามผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อกฎหมาย"

และในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) สภาคณะปฏิวัติแห่งชาติฝรั่งเศสได้ลงมติให้ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16

และในเวลาต่อมา พระนางมารี อองตัวเนตก็ได้ถูกตั้งข้อหาโดยศาลปฏิวัติว่าขายชาติกับประเทศมหาอำนาจต่างชาติ พระนางถูกไต่สวนและถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาเป็นทรราชขั้นร้ายแรงและถูกบั่นพระเศียรด้วยกิโยติน(guillotine) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336)โดยปฏิเสธจะสารภาพบาปกับบาทหลวงที่คณะปฏิวัติจัดหาให้ ศพของพระนางถูกฝังในหลุมฝังศพลา มาเดอเลน บนถนนอองจู-ซังต์-ตอนอเร และถูกย้ายไปฝังไว้ที่วิหารซังต์ เดอนีส์ เมื่อวันที่ 21 มกราคม ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคมค.ศ. 1815 (พ.ศ. 2358)


วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง

โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโขจากคอลัมน์ “เปิดห้องหมอสูติ”
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘


ขอเล่าเรื่องกรรมออนไลน์จากการทำแท้ง ซึ่งไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้าเลย เพราะมันเกิดให้เห็นในชาตินี้ ในเวลาไม่นานเกินรอ
คุณหมู (นามสมมุติ) เป็นคนไข้รายหนึ่ง ที่มาหาดิฉันด้วยเรื่องอยากมีประจำเดือน “หนูไม่มีประจำเดือนมาสองปีแล้วค่ะหมอ” เธอบอก
เมื่อถามรายละเอียด พบว่าอยากมีประจำเดือน เพราะเธอเข้าใจว่า เพราะไม่มีประจำเดือนทำให้เธอไม่มีลูก ตอนนี้เธออายุแค่ ๒๒ ปี
แม่ของสามีขู่ว่า ถ้าไม่มีลูก จะหาภรรยาใหม่ให้สามี เธอจึงวิตกกังวลและปรึกษามาหลายหมอแล้ว
ประวัติของเธอ
คือ เมื่ออายุ ๒๐ ปี เธอมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก จนตั้งท้องได้ ๓ เดือน
เมื่อไม่พร้อมเธอจึงไปทำแท้ง ให้หมอเถื่อนดูดและขูดมดลูกเอาเด็กทารกออก
หลังทำแท้ง เธอสังเกตว่า ประจำเดือนมาน้อยมาก
และต่อจากนั้น ก็ไม่เคยมีประจำเดือนอีกเลย หลังจากเอาเด็กออก
เธอก็แยกทางกับคู่รัก และมาแต่งงานกับสามี ซึ่งมีฐานะดี และมีอายุมากกว่า ๑๐ ปี
สามีเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จึงอยากมีลูกหลายๆ คน
ก่อนมาหาดิฉัน เธอได้ตรวจพิเศษเพิ่มเติมหลายอย่าง
ผลการตรวจที่เธอ นำมาให้ดูอย่างหนึ่ง คือ
รูปเอกซเรย์การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก (Hysterosalpingography) การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกนั้น
เป็นการสืบค้นอย่างหนึ่ง เพื่อดูว่าปากมดลูก โพรงมดลูก ตลอดจนท่อรังไข่ตีบตัน หรือมีเนื้องอกอะไรในอวัยวะภายในหรือไม่
ใช้สืบค้นสำหรับผู้มีบุตรยาก
คำว่า มีบุตรยาก คือ แต่งงานกันมานาน ๑ ปี มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ตั้งครรภ็
โดยทั่วไป เมื่ออยู่กินกันมานาน ๑ ปี ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ ควรจะตั้งครรภ์ ร้อยละ ๑๐ - ๑๕ ที่ไม่ตั้งครรภ์
จึงเรียกว่า เป็นผู้มีบุตรยาก
การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกของคุณหมูนั้น
พบว่า ไม่สามารถจะฉีดเข้าไปได้เลย
ทางรังสีแพทย์วินิจฉัยว่า โพรงมดลูกตีบตัน (Asherman’s Syndrome)
เมื่อไม่มีโพรงมดลูก ก็ย่อมไม่มีประจำเดือน และไม่มีการตั้งครรภ์
โพรงมดลูกตีบตันนั้น พบได้ร้อยละ ๑๓ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขูดมดลูก จนมีการทำลายเยื่อบุมดลูก หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ
ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก
โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ โดยใช้กล้อง (Hysteroscope)
ส่องเข้าไปในโพรงมดลูก จี้สลายพังผืด เพื่อให้โพรงมดลูกกลับมาปกติดังเดิม
แต่สำหรับคุณหมูนั้น
โพรงมดลูกตีบตันอย่างรุนแรง เนื่องจากเยื่อบุมดลูก ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นจากการทำแท้งเถื่อน
แสดงว่าต้องมีการขูดมดลูกที่รุนแรง หรือมีการอักเสบติดเชื้อตามมา
การไม่มีประจำเดือน และการไม่มีลูก ล้วนแต่เป็นผลจากการทำแท้ง
เนื่องจากวิทยาการปัจจุบัน ยังไม่สามารถสร้างเยื่อบุมดลูกเทียมได้
(ถ้ายังเหลือเยื่อบุมดลูกบ้าง การใช้ฮอร์โมนกระตุ้น ก็อาจได้ผล)
จึงไม่สามารถให้มีลูก และทำให้ประจำเดือนกลับมามีเป็นปกติได้
อยากมีลูก
จึงมีวิธีเดียวที่ทำให้สมหวังได้ คือ “อุ้มบุญ”
คือใช้ไข่ของคุณหมูผสมกับอสุจิของสามี และนำไปฝากครรภ์คนอื่น
ซึ่งวิธีนี้ คุณหมูก็รู้มาจากคุณหมอคนก่อนๆ แล้ว แต่เธอเล่าว่า
แม่สามีบอกว่า ถ้าจะหาคนอุ้มบุญ หาเมียใหม่ง่ายกว่า
ตอนนี้
แม้คุณหมูจะร้องไห้ จนน้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจแก้ปัญหา อยากมีลูกเองได้
นอกจากดิฉันจะอธิบายเหมือนหมอคนอื่นๆ ดิฉันก็ยังคิดในใจว่า...นี่กรรมจากการทำแท้งเถื่อนโดยแท้ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องกรรมจากการทำแท้งนั้นพบได้มากมาย
คนไข้คนหนึ่งไปทำแท้งเถื่อนตอนท้องได้ ๒ เดือน แต่ทารกไม่ออก
เจ้าตัวก็ไม่รู้สงสัยอยู่ว่า ทำไมมีเลือดออกอยู่เรื่อย
มารู้อีกทีตอนท้อง ๖ เดือนแล้ว
พบว่าภายหลังทารกคลอดออกมา
เป็นเด็กพิการปัญญาอ่อน มีนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ครบ
ทำให้คนเป็นแม่ ทุกข์ทรมานจาการเลี้ยงลูกปัญญาอ่อนพิการจนถึงปัจจุบัน
คนไข้อีกรายหนึ่งบอกว่า ตนยากจน
เมื่อท้องได้ ๗ เดือน ได้ซื้อยาบีบมดลูก ที่ลักลอบขายมาเหน็บทำแท้งตนเอง
และมาแท้งลูกที่โรงพยาบาล เด็กยังอ่อนนักก็เสียชีวิต
ตามธรรมเนียมเมื่อมีทารกตาย
ก็จะแนะนำให้ญาตินำศพเด็กไปทำบุญที่วัด
ทำบุญนี้คือ ให้สัปเหร่อช่วยนิมนต์พระมาสวดและเผาศพ ใช้ค่าใช้จ่ายเพียงร้อยสองร้อย
แต่รายนี้เมื่อเด็กแท้งออกมา
พ่อของเด็กคงนึกเสียดายค่าทำบุญ
จึงนำศพลูกไปกดทิ้งในโถส้วมที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ปรากฏว่า
เด็กปั๊มแจ้งตำรวจ
เพราะคิดว่ามีการฆาตรกรรมเด็ก
ตำรวจจึงตามมาสอบสวน ผลคือ
คนไข้รายนี้ต้องเสียเงินหลายพันบาท
เป็นค่าปิดปากเด็กปั๊มและตำรวจ
อ้างว่าทำแท้ง เพราะไม่มีเงินเลี้ยงดูลูก
แต่ในที่สุดก็เสียเงินจำนวนมากกว่า
เพราะการทำแท้งนั่นเอง...อย่างนี้ไม่เรียกว่ากรรมออนไลน์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรนะคะ

กรรมของลูก

ลูกเถียงพ่อเถียงแม่
สำหรับผู้ที่ชอบเถียงพ่อจัดว่าเป็นการทำความชั่วที่หนักหนาสาหัสเมื่อลูกผู้นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ พ่อแม่เคยเจ็บช้ำจากการเถียงของลูกเช่นไรลูกคนนนั้นก็จะโดนสังคมบีบคั้นเช่นกันกรรมนี้สามารถพบเห็นในพบชาตินี้แน่นอนส่วนทางร่างกายนั้นลูกที่เถียงพ่อแม่ที่มีกรรมหนักมากจะมีอาการลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง ฯลฯ

ลูกที่ทำร้ายพ่อแม่
ในศาสนาพุทธนั้นสอนว่าลูกที่ทำร้ายพ่อแม่ตายไปแล้วจะไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะนรก มีลักษณะเป็นบัวกลดเผาทำลายอยู่เป็นนิจมียมบาลคอยเอาค้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป แต่ถ้าจะให้เห็นในชาติปัจจุบันแม่ชีธนพรบอกว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่อกุศลกรรมจะทำให้คนผู้นั้นถูกคนรักทำร้าย เช่นอาจจะเป็นสามี ภรรยา บุตรหรือคนที่สนิททำร้ายได้

ลูกที่ใช้ให้พ่อแม่บริการตัวเอง
การที่ลูกๆ ใช้พ่อแม่ให้บริการตัวเองหรือพ่อแม่เต็มใจบริการลูกๆ เพราะรักลูกมาก เช่นซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าวให้จะถือว่าเป็นกรรมที่พ่อแม่ทำให้เกิดกับลูกทั้งสิ้น ทำให้เมื่อลูกออกไปใช้ชีวิตในสังคมจะต้องไปเป็นข้าผู้อื่น ถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบเป็นต้น

การทำแท้ง
การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรมโดยตรง
ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ
1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง
2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต


ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยังต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

สังคมไทย


"พบศพเด็กจากการทำแท้ง 348 ศพ" เป็นข่าวใหญ่ระลอกแรกที่ "ช็อก" คนไทยทั้งประเทศให้ตกอยู่ในอาการ "สยดสยอง-สลดหดหู่" ยังช็อกชาวโลกอีกด้วย เพราะข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก จากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลกทุกสำนัก
แต่ "ข่าวระลอกสอง" กลับสยดสยองยิ่งกว่าอีกหลายเท่า จนทำให้คนไทยตกอยู่ในภาวะ "อึ้งจนไปไม่ถูก" เมื่อสัปเหร่อสารภาพมากขึ้น แล้วตำรวจไปเปิดโกดังเก็บศพทั้งหมดพบอีก 1,654 ศพในวัดเดียวกัน คือ "วัดไผ่เงิน" ที่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
คำถามที่ควรจะถามต่อไป คือ สังคมมีความมั่นใจมากแค่ไหน ว่า นอกเหนือจาก "วัดไผ่เงิน" ที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงแล้ว จะไม่มีสัปเหร่อวัดอื่นอีกทั่วประเทศกว่า 35,000 วัด มีพฤติกรรมเหมือนกับสัปเหร่อวัดไผ่เงิน คือ หาลำไพ่พิเศษให้ทำลาย "ศพเด็ก"

จากตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 อนุญาตให้หญิงมีครรภ์ทำแท้งได้โดยไม่ผิดกฎหมายเพียง 2 กรณี คือ การถูกข่มขืนและการเกิดอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์และบุตร ทำให้การทำแท้งกรณีอื่นๆ เป็นเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมด ซึ่งในชีวิตจริงได้สร้างปัญหาต่อเนื่องมากมายกับหญิงสาวที่ตั้งครรภ์โดยไม่ มีความพร้อม หรือไม่ได้ต้องการลินิกทำแท้งเถื่อน

สังคมไทยเป็นสังคมชาวพุทธที่ดูเหมือนจะเคร่งครัดทางศีลธรรมมากๆ แต่ศพเด็ก 2,002 ศพ เป็นการ "ตบหน้า" และ "ประจาน" คนไทยทั้งประเทศให้ตื่นขึ้นมายอมรับความจริงเสียทีว่าสังคมไทยไม่ได้สูงส่งทางศีลธรรมใดๆ เลย
แท้จริงแล้ว เป็นสังคมหน้าไหว้หลังหลอก ที่มักไม่ยอมแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมที่หมักหมมมานานในหลายๆ เรื่อง การปล่อยปละหญิงท้องไม่มีพ่อให้แก้ปัญหาด้วยตัวเองจน "ศพเด็ก 2,002 ศพ "เน่าเฟะออกมาหลอกหลอนมากมายขนาดนี้

สังเกตอารมณ์ของสังคมยังดู "ด้านชา" ไม่ค่อยเกิดความรู้สึกทุกข์ร้อนว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนสำคัญระดับชาติ หรือถือเป็น "วาระทางศีลธรรมแห่งชาติ" ที่จะต้องลงมาช่วยกันแก้ไข ระวังไว้เถอะ "ศพเด็ก" อีกปีละนับแสนศพ อาจจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิการมีชีวิตอยู่ หากพวกเรายังไม่กล้าเผชิญปัญหาแล้วหาทางแก้ไข

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษกล่าวขอโทษง่ายๆ

สำนวนภาษาอังกฤษที่เราใช้กล่าวขอโทษกันมีหลายสำนวน ผู้เขียนจะขอหยิบยกมาให้นำไปใช้กันตามที่นิยมและใช้แพร่หลายกันก็พอนะคะ ขืนจำไปมากจะสับสน
ก่อนที่จะใช้สำนวนกล่าวคำขอโทษ เรามาดูศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่าขอโทษ ยกโทษ ซึ่งความหมายของศัพท์แต่ละคำนั้นคล้ายคลึงกันและใช้ในการขอโทษเหมือนกันแต่ต่างกันตรงโอกาสและสถานะของการใช้นะคะ
คำแรกคือคำว่า apologize v. (อะพ็อลโลไจซ) : หมายถึงการขอโทษ เพราะผู้ขอเกิดความสำนึกและยอมรับว่า ได้ทำได้ทำวามยุ่งยากหรือทำความเจ็บปวดให้กับผู้อื่น เช่น
- I apologized to her for stepping on her foot. ฉันขอโทษที่ไปเหยียบเท้าเธอ
- I apologized to him for my error. ฉันขอโทษเขาที่ได้ผิดพลาดอะไรไปบ้าง
เวลาเราใช้คำว่า apologize ในการขอโทษ เราจะใช้สำนวนหระโยค ที่ว่า
I apologize to ..........(ผู้ที่เราต้องการขอโทษ) เรื่องที่เรfor .......(v+ing.........(เรื่องที่เราทำผิด)
หรือ apologize for ................. (เรื่องที่เราต้องการขอโทษ) เช่น
May I apologize for coming late. ฉันขอโทษที่มาสายนะคะ
คำต่อไปคือคำว่า forgive v. (ฟอกิฟว) : หมายถึงการให้อภัยหรือยกโทษให้กับผู้ที่ล่วงเกินตนเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์เคียดแค้นขึ้นในใจ และเมื่อมีการขอโทษให้อภัยแล้วก็จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย เช่น
- He forgive me for being late. เขาให้อภัยฉันที่มาสาย
- I was pleased to forgive him for what he said to me at the meeting yesterday.
ฉันยินดีที่จะให้อภัยเขาต่อสิ่งที่เขาได้พูดถึงฉันในที่ประชุมเมื่อวานนี้
คำต่อไปคือคำว่า excuse v. (เอ็กซคิวส์) : หมายถึงการยกโทษหรือการให้อภัยในความผิดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเป็นมารยาทในด้านสังคมหรือประเพณี เช่นการพูดขอทางผ่าน การลุกเดินเหินนั่งแล้วไปเบียดหรือเฉี่ยวชนใครเข้าโดยไม่ตั้งใจใช้ excuse เช่น
- Excuse me for not recognising you. ขอโทษนะคะที่จำคุณไม่ได้
- Please excuse me for miscalling you. ขออภัยด้วยนะคะที่เรียกชื่อคุณผิด
- Please excuse for the way to go outside. ขอโทษนะคะขอทางออกไปหน่อย

คำสุดท้ายคือคำว่า pardon v. (พาดัน) : หมายถึงการขอโทษหรืออภัยโทษ นิยมใช้เมื่อโทษนั้นเป็นโทษหนัก เช่นการทำผิดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรมแต่บางครั้ง ก็นำมาใช้ในความหมายว่าไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัด ขอให้พูดใหม่อิกครั้งได้ไหม เหล่านี้เป็นต้น เช่น
- Fifty prisoners were pardoned. นักโทษ 50 คนได้รับอภัยโทษแล้ว
- Pardon me. Will you please say it again. ขอโทษนะคะ กรุณาพู
ดอีกครั้งได้ไหม หรืออาจจะกล่าวสั้นๆ หลังจากต้องการให้ผู้พูด พูดอีกครั้ง คือ
- Pardon me.
เอาละเรารู้ความหมายของแต่ละคำแล้ว เลือกใช้ได้ตามความผิดนะคะ อิอิ ต่อไปเป็นสำนวนที่เรามักจะใช้พูดขอโทษกัน ตามนี้เลยค่ะ
1) Excuses and Apologies การกล่าวคำขอโทษ สำนวนที่ใช้กันมากๆ มีตามนี้จ้ะ

- Excuse me. ขอโทษครับ (ค่ะ)
- Pardon me. ขอโทษครับ (ค่ะ)
- Excuse me for being late. ขอโทษทีฉันมาช้า
- I'm so sorry. ฉันขอโทษเป็นอย่างสูง
- I'm very sorry. ฉันขอโทษเป็นอย่างมาก
- I'm very sorry for not coming yesterday. ฉันเสียใจมากๆที่ไม่ได้มาเมื่อวานนี้
- I'm sorry to have kept you waiting. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรอ
- I'm sorry I can't help you. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ช่วยคุณไม่ได้
- I'm sorry to have troubled you. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณยุ่งยาก
- I apologize for breaking my promise. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ผิดสัญญา
- It's my fault. มันเป็นความผิดของฉันเอง
- How stupid of me! ฉันช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน
- I'm sorry I'm late. ขอโทษด้วยที่ฉันมาสาย

2) เมื่อมีผู้กล่าวคำขอโทษเรา การตอบรับก็ถือเป็นมารยาทอันสำคัญของเรานะคะ มิเช่นนั้นจะดุเป็นการผิดมารยาทและเหมือนจะไม่ต้องการคำขอโทษอะไรแบบนั้น ห้าๆๆ เดี๋ยวจะคบกันต่อไม่ได้นะจะบอกให้ เอ้อ การตอลรับคำขอโทษที่ติดๆปากทั่วไปมีตามนี้ค่ะ
- That's all right.
- Of course.
- Certainly.
- It's nothing at all.
- Forget it.
- Don't worry about it.
- It's wasn't your fault.
- It doesn't matter
.
ทั้งการกล่าวคำขอโทษ และการตอบรับที่นิยมใช้กันก็มีประมาณนี้แหละค่ะ แต่จริงๆมีมากสำนวนกว่านี้นะคะ เพียงแต่ เราเอาที่ใช้และได้ยินกันบ่อย ๆ ก็พอค่ะ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างนะคะ

50 วิธีในการรีไซเคิล

1. แปรงสีฟันเก่าใช้แล้วอย่าทิ้ง นำมาจุ่มยาสีฟันทาให้ทั่วรองเท้าผ้าใบที่ซักแล้ว จะทำให้รองเท้าผ้าใบใหม่ขึ้น
2. ถังขยะที่ใช้แล้วมีกลิ่น ให้ใส่เปลือกส้ม เปลือกมะนาว หรือลูกเหม็นจะทำให้หายเหม็น
3. ลูกเทนนิสเก่าไม่ใช้แล้ว ผ่าเอาฝอยขัดหม้อมาใส่ เพื่อใช้สำหรับขัดหม้อ จะช่วยให้ถือได้สะดวก
4. อยากทำให้รองเท้าหนังคู่เก่าดูใหม่ ให้หยดน้ำมันไฟแช็ค 2-3 หยด ลงบนรองเท้า ใช้ผ้าชุบน้ำมะนาวขัดอีกที รับรองคุณจะได้รองเท้าคู่เก่งคู่ใหม่ในทันทีทันใด
5. ทำความสะอาดโคมไฟ โดยการนำแปรงสีฟันเก่าไม่ใช้แล้วมาถูให้ทั่ว แล้วเป่าด้วยเครื่องเป่าผม
6. พลาสติกที่ใช้แล้วอย่าทิ้ง นำมาห่อเครื่องเงินจะป้องกันไม่ให้เครื่องเงินดำ
7. เครื่องหนังเก่า ๆ ให้ทำความสะอาดโดยใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่ถูให้ทั่ว ใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำบิดพอหมาดถูให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้งโรยด้วยแป้งฝุ่น
8. กลักฟิลม์ที่ใช้แล้ว นำมาล้างทำความสะอาด นำกลับมาใส่ยาสำหรับเวลาเดินทางหรือเอาใส่ไม้จิ้มฟัน หรือนำมาบรรจุทรายให้เต็มวางทับกระดาษ หรือเจาะรูใส่พริกไทยป่นหรือเกลือป่นได้
9. ถ้าจานเซรามิกมีรอยร้าว สามารถซ่อมให้ดีได้ ให้นำจานไปแช่น้ำนมอุ่น น้ำนมจะช่วยประสานรอยร้าวได้
10. ขวดสเปรย์พลาสติกที่มีอยู่มีวิธีนำไปใช้ให้มีประโยชน์ เช่น ฉีดน้ำให้ความชุ่มชื้นกับต้นไม้ ฉีดน้ำให้ผ้าชื้นก่อนรีด ฉีดน้ำยาซักผ้าก่อนนำไปซัก
11. ถุงพลาสติกที่ได้มาพร้อมกับการซื้อของอย่าทิ้ง ให้นำมายัดเบาะหรือหมอนเหมือนนุ่น สำหรับเป็นเบาะรองนั่งเก้าอี้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
12. ฝาพลาสติกจากกระป๋องกาแฟ สามารถนำมาตักอาหารเล็ก ๆ ได้หลายอย่าง เช่น ส้ม แอปเปิ้ล หัวหอม หรืออาหารนิ่ม ๆ ได้หรือนำมารองก้นขวดน้ำเชื่อม ขวดน้ำมัน บนชั้นวางของหรือในตู้ จะช่วยทำความสะอาดชั้นได้ง่ายขึ้น
13. ถ้ามีแผ่นยางโฟมเหลืออยู่ให้ตัดออก ทำแผ่นรองหัวเข่า เพื่อใช้ในการทำงานในสวนจะช่วยรักษาเข่าให้ปลอดภัย
14. ทำกระถางต้นไม้จากยางรถยนต์เก่า นำยางรถยนต์มาวางใส่ดินวางเรียงไว้ตรงบ้าน ปลูกพวกสะระแหน่ พริก มะเขือ ใบโหระพา หรือจะปลูกดอกไม้ให้ดอกสวยงาม
15. ถุงพลาสติกที่ใส่ขนมปังหรือใส่ผัก ผลไม้ อย่าทิ้ง ให้นำมาใส่ขยะเปียกได้อย่างดี ใส่ขยะชื้นลงในถุง ปิดด้วยการปิดม้วนปากจะทำให้ถังขยะไม่มีกลิ่น
16. กล่องโฟมพลาสติกที่ใส่ไข่ เป็นช่อง ๆ เก็บไว้ใส่ตะปู ตะขอและหมุดไว้ในห้องเก็บของทำให้หาใช้สะดวก
17. แผ่นอลูมิเนียมฟลอย์ที่ใช้แล้วยับยู่ยี่ อย่าทิ้ง นำมาใช้ทำความสะอาดตะแกรงปิ้งอาหารได้อย่างดี เพราะจะช่วยขจัดอาหารที่ไหม้ติดตะแกรงออกได้อย่างง่ายดาย
18. ขวดโคโลญน์เปล่า ๆ อย่าทิ้ง ให้เก็บใส่ลิ้นชัดที่เก็บชุดชั้นในจะเป็นกล่องเครื่องหอมได้เป็นอย่างดี
19. ถุงกระดาษแวกซ์ที่ใช้ติดมาจากร้านเบเกอรี่ นำมาใส่อาหารเก็บไว้ในตู้เย็นได้
20. เพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ให้ใช้เศษผ้าขี้ริ้วทำความสะอาดสิ่งต่าง ๆ แทนกระดาษทิชชู แล้วนำไปตากให้แห้ง นำกลัลมาใช้ใหม่
21. ถุงพลาสติกที่ได้มาจากการซื้ออาหาร จากท้องตลาดอย่าทิ้ง ให้นำมาล้างให้สะอาดผึ่งให้แห้ง สำหรับเก็บเครื่องครัวที่นาน ๆ ใช้ เช่น เครื่องบด หม้อ จาน ชุดถ้วยกาแฟ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองจับเมื่อหยิบใช้จะได้ไม่ต้องล้าง
22. ฝาพลาสติกที่ปิดกระป๋อง อย่าโยนทิ้งให้ล้างน้ำสะอาด นำมาเก็บไว้สำหรับรองก้นกระป๋องอาหารกระป๋องใหม่ เวลานำมาวางบนโต๊ะ กระป๋องจะไม่ขูดโต๊ะให้เป็นรอย
23. ซองพลาสติกที่ใส่สมุดเงินฝาก เมื่อเปลี่ยนสมุดใหม่ นำมาใช้ประโยชน์อื่นได้ เช่น ใส่เครื่องประดับต่าง ๆ ใส่การ์ดโฟนโทรศัพท์
24. กระป๋องกาแฟขนาดใหญ่ ที่มีฝาปิดขวดพลาสติก เมื่อใช้กาแฟหมดแล้ว อย่าโยนทิ้งใช้เป็นขวดใส่คุกกี้ มันฝรั่งทอดเป็นแผ่นบาง ๆ หรือขนมของว่างอื่น ๆ ได้ดี 25. ซองใส่แว่นตาที่ไม่ใช้แล้ว เหมาะที่จะใช้เก็บเข็มถักโครเชต์ กรรไกร หรือเข็มนิตติ้ง
26. นำขวดพลาสติกที่ใช้บรรจุยาเมื่อยาหมดแล้ว มาสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในขวดกาแฟที่ใช้หมดแล้วใส่ทินเนอร์พอท่วม ใช้ไม้คนให้ทั่ว ปิดฝาทิ้งไว้สักคืน จะได้กาวมาใช้ตามต้องการ
27. กระป๋องสี กระป๋องกาแฟ นำมาทำที่สำหรับปลูกต้นไม้ได้อย่างดี
28. โฟมพลาสติกที่ติดมาเวลาซื้ออาหารตามซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ต้องทิ้ง ล้างด้วยน้ำซักฟอกอุ่น ๆ ผึ่งให้แห้ง แล้วตัดให้ได้รูปสำหรับรองถ้วยชามกระเบื้องกันแตก 29. กล่องโฟมนมที่ใช้แล้ว อย่าโยนทิ้ง เก็บไว้เป็นกล่องสำหรับส่งทางไปรษณีย์ เพราะกล่องนี้มีน้ำหนักเบา สามารถใช้แทนกันได้
30. ถุงมือยาง สำหรับใส่ทำงานบ้าน ข้างขวามีรอยขาด ให้ใส่ถุงมือซ้ายกลับด้านในออกมาข้างนอก สามารถใช้แทนกันได้
31. กล่องมาสคาร่าและแปรงขนตาเก่า ใช้แล้วอย่าโยนทิ้ง นำมาใช้สำหรับทำความสะอาดเครื่องเพชรนิลจินดาได้อย่างดี ส่วนกล่องพลาสติกที่บรรจุมาสคาร่าและแปรงอันเล็ก ๆ ล้างแล้วเช็ดให้แห้งใช้สำหรับเป็น กล่องใส่ยาเม็ด เพื่อเก็บไว้ในกระเป๋าถือ
32. หลอดดูดน้ำที่ใช้แล้ว ให้ล้างก๊อกน้ำเก็บเอาไว้นำมาสวมก้านดอกไม้ นำมาปักแจกันจะทำให้ก้านตั้งตรงไม่เอนไปทางใดทางหนึ่งเพราะก้านอ่อน
33. ร่มพลาสติกเก่าแล้ว ถ้าเลิกใช้ไม่ต้องทิ้ง เอามาทำกรีนเฮาส์ได้ สำหรับต้นไม้ในร่มที่ต้องการความชื้นสูง ปักปลายด้ามร่มลงในดินหาก้อนหินมายึดให้แน่น คุณจะได้กรีนเฮาส์ขนาดจิ๋ว
34. โฟมที่ใส่มาในขวดยา หรือตามกล่องต่าง ๆ อย่าโยนทิ้ง ให้วางโฟมสัก 2-3 ชิ้นลงก้นกระถางต้นไม้ เพื่อปลูกต้นไม้ลงดินแล้วช่วยอุ้มน้ำอย่างดี
35. แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้แล้ว นำมาถูสิ่งสกปรกตามซอกมุมที่มือเข้าไปไม่ถึงเช่น ซอกรองเท้า
36. ถ้วยไอศกรีม ถุงพลาสติก เจาะรูที่ก้นนำมาเพาะชำต้นไม้เมื่อเอาลงดินก็ง่าย ประหยัดเนื้อที่ ไม่หนักแรงเวลาขนย้าย ราคาถูกกว่า กระถางดิน
37. ริบบิ้นที่แก้จากห่อของขวัญ ถ้าต้องการนำมาใช้อีก ให้ม้วนไว้กับแกนกระดาษแข็ง แยกเป็นสี ๆ เมื่อต้องการนำมาผูกห่อของขวัญใหม่จะได้หยิบใช้ได้สะดวก ถ้าริบบิ้นที่จะนำมาใช้ใหม่มีรอยยับยู่ยี่ ให้นำไปแช่น้ำอุ่นผสมน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา แล้ววางบนผ้าทิ้งไว้หมาด ๆ จึงเอามารีดด้วยเตารีดไฟอ่อน ๆ จะได้ริบบิ้นที่เรียบสวยนำมาใช้ได้ทันที
38. เศษโฟมที่เหลือจากการใช้แล้ว อย่าทิ้งให้นำมาผสมกับน้ำมันเบนซินหรือทินเนอร์ คนให้เข้ากันเป็นยาง ใช้สำหรับอุดหลังคาสังกะสีที่รั่ว หรือฝารอยแตกของหลังคากระเบื้อง เมื่อแห้งแล้วจะทำให้ติดกันสนิท ใช้สำหรับเป็นกาวก่อกระเบื้องที่แตกหรือใช้ทายางที่ติดขอบประตูรถได้แน่นหนาดี
39. ไม้เกาหลังพลาสติกเก่า ๆ ที่ไม่ใช้แล้วอย่าโยนทิ้ง ให้นำมาโกยขี้ผงใบไม้ร่วง ใส่ที่ตักขี้ผงได้เป็นอย่างดี
40. ขวดฉีดน้ำหอม เมื่อใช้น้ำหอมหมดแล้วให้นำมาใส่ยากันยุง ใช้เหมือนกับกระป๋องฉีดยากันยุง
41. กล่องใส่นม ถ้วยไอศกรีม เมื่อใช้ดื่มและรับประทานหมดแล้ว อย่าโยนทิ้ง ให้นำมาล้างให้สะอาดเก็บเอาไว้ใส่น้ำแช่ในตู้เย็นในช่องแช่แข็ง เพื่อทำน้ำแข็ง ซึ่งสะอาดกว่าน้ำแข็งที่ไปซื้อจากร้าน
42. ถุงมือยางที่รั่ว ให้ใช้น้ำยาทาเล็บแต้ม จะทำให้หายรั่วและใช้ได้ต่อไป
43. ฟองน้ำที่เสียอย่านำไปทิ้ง ให้นำมาใช้ประโยชน์ เพื่อความชุ่มชื้นกับดิน ให้นำมาวางบนกระถางหรืออยู่ใต้ดินที่ดินทับอยู่ ฟองน้ำจะอมน้ำไว้ไม่ให้ไหลซึม เมื่อเวลารดน้ำ จะช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ในดิน
44. ผ้าม่านพลาสติก ในห้องน้ำที่ไม่ใช้แล้วนำมาตัดทำเป็นผ้ากันเปื้อนเวลาจะวาดรูประบายสี หรือทาสีหรือเวลาเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้าน
45. แกนหลอดด้ายขนาดใหญ่ เมื่อใช้หมดแล้ว ใช้เป็นที่สำหรับเก็บสายไฟ สายทีวีได้เป็นอย่างดี โดยเอาปลั๊กยัดไว้ตรงแกน แล้วพันสายรอบ ๆ ตัวแกน
46. กล่องแปรงสีฟันพลาสติก อย่าโยนทิ้ง นำมาใช้สำหรับเก็บกิ๊บติดผม กระดุม หรือเข็มหมุดเล็ก ๆ แยกไว้เป็นพวกได้อย่างดี
47. เทียนตั้งโต๊ะอาหารที่เหลือจากการใช้แล้ว อย่าทิ้งให้เก็บเอาไว้ เมื่อเวลาต้องการใช้ใหม่ ให้ใช้มีดคม ๆ เฉือนแต่งน้ำตาเทียนที่เกาะติดตัวไส้ดำทิ้ง และเกลาตรงปลายเทียนเสียใหม่ให้ได้รูป สามารถนำมาใช้แต่งดอกไม้ให้สวย เพื่อตั้งโต๊ะใหม่ได้อีก
48. ถุงมือยางที่ใช้ไม่ได้แล้ว อย่าทิ้ง เอามาตัดเป็นท่อน ๆ จะได้ยางหนังสติ๊กหลายเส้นหลายขนาด เก็บไว้รัดห่อของได้ตามที่ต้องการ
49. ตาข่ายห่วงบาสเก็ตบอล เมื่อเก่าและต้องการเปลี่ยนใหม่ ให้แก้ปมออกให้หมด จะได้เชือกที่เหนี่ยวทนทาน เก็บเชือกไว้ห่อมัดพัสดุกล่องต่าง ๆ
50. หลอดด้ายเปล่าให้เก็บไว้หลาย ๆ อัน สวมบนราวแขวนเสื้อในตู้เสื้อผ้า จะทำให้ขอไม้แขวนเสื้อไม่เกยกัน

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องรักๆ

ถ้ารัก คือ...ฟัน
รักคงมั่นคือ...ฟันแท้
รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก
รักโสโครก คือ...ฟันดำ
รักถลำ คือ...ฟันเหยิน
รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง
รักร้างคือ...ฟันหลอ
รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด
รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว
รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม
รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง
รักสีม่วง คือ...ฟันเก
รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน
รักสลอนคือ...ฟันแทรก
รักแรก คือ...ฟันน้ำนม
รักระบมคือ...ฟันผุ
รักคิกขุ คือ...ฟันกระต่าย
รักสลายคือ...ฟันหลุด
รักชำรุดคือ...ฟันสึก
รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด
รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม
รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด
รักสลด คือ...ฟันพลาด
รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง
รักปิดบัง คือ...ฟันชู้
รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า
รักกะฮาคือ...ฟันเล่น
รักไม่เป็นคือ...ฟันดะ
รักเธออยู่เสมอ จริงๆ นะ...ฟันธง

ขำขัน

หนุ่มๆ คงต้องคิดหนักแน่ ถ้าคิดจะมีภรรยา 5 อาชีพนี้

1. พวกนักกีฬา...เพราะว่าพวกนี้ วันๆ จ้องแต่จะทำลายสถิติอยู่บ้านเฉยๆ ก็สะกิดแล้ว...
"หมู่นี้สถิติตกไปนะพี่ขา มาทำลายสถิติกันเถอะคะ"

2. พวกครู...พวกนี้จะชอบสอนเป็นนิสัย สอนเสร็จก็จะถามว่าเข้าใจไหมถ้าตอบว่าเข้าใจ ก็จะให้การบ้านไปทำทั้งที่เหนื่อยจะแย่โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหล่อนเป็นครูอนุบาลด้วยแล้ว หล่อนจะชอบพูดว่า...
"เก่งมากกกกค่าาาาา....เอาาาอีกกกกก"

3. พวกพยาบาลทั้งหลาย....พวกนี้วิตกจริตครับ รักความสะอาดชอบถามว่าล้างแล้วหรือยัง ถ้าบอกว่าล้างแล้ว ก็จะถามต่อว่าแล้วลวกน้ำร้อนแล้วหรือยัง เช็ดแอลกอร์ฮอลล์แล้วหรือยัง...
แล้วคุณจะไปเช็ดไหมหล่ะครับ

4. พวกพนักงานโอเปอร์เรเตอร์...เพราะเวลาที่เราต้องการหล่อนจะชอบบอกว่า
"กรุณารอสักครู่ค่ะ"

5. พนักงานแคชเชียร์...พวกนี้ชอบติดป้ายว่า ...
"กรุณาใช้ช่องถัดไป"

รูปสระว่ายน้ำ






















วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ของใช้สุดฮิต

ไอค่อนเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์เลียนแบบแฟ้ม บรรจุเอกสาร ตอนนี้กระเป๋ากำลังจะเลียนแบบไอคอนโฟลเดอร์อีกที ฮา

การล้อเลียนเอาซะเหมือนทั้งสีและดีไซน์ แม้แต่ฟอนต์ของตัวอักษรคำว่า MY DOCUMENT ก็จัดให้แบบเหลี่ยมดูมีความอิเล็กทรอนิกส์จัดๆ ใครที่วันๆ นั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาเห็นกระเป๋าใบนี้อาจจะอาเจียนหรือคิดไปได้ ว่าตัวเองเบลอมีอาการเมาเม้าส์และแป้นพิมพ์อยู่หรือเปล่า?




ขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหอบ หิ้วประจำตัวได้ แถมฟรีป้ายทำจากยางรูปไอคอนหนึ่งอัน จะสุ่มไปให้ไปลุ้นเอาว่าจะได้ ลูกศร มือ นาฬิกาทราย

ใครหากระเป๋าใส่กล้องเท่ๆ เขาก็ทำมาสนองความต้องการเช่นกัน เปลี่ยนข้อความบนกระเป๋าเป็น MY PHOTO ก็ดูดี น่ารัก ไม่แพ้กัน เห็นแล้วอยากจะไปดับเบิ้ลคลิกเปิดดูข้างในจริงๆ เชียว







วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ไอเดียเก๋ แต่งรถให้สวยด้วยขนตา

ไอเดียเก๋ แต่งรถให้สวยด้วยขนตา
ไอเดียการแต่งรถไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ CarLashes ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รถไม่จำเป็นต้องแต่งให้ดุดันหรือเท่ได้เท่านั้น เพราะรถของคุณโดยเฉพาะคุณผู้หญิงสามารถแต่งออกมาให้สวยหวานด้วยการติดขนตางอนๆพร้อมอายไลเนอร์คริสตัลเพิ่มความแวววาวของขอบตาหรือไฟหน้ารถ เรียกว่าถ้าแต่งออกมาแล้วขับไปที่ไหนรับประกันได้เลยว่าคนที่พบเห็นจะต้องหยุดมองและยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็รถออกจะสวยน่ารักฉีกแนวไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนแบบนี้ ไม่ยิ้มก็บ้าแล้ว ที่สำคัญร้านแต่งรถในไทยสามารถนำเอาไอเดียนี้ไปทำชุดแต่งเจาะตลาดคุณผู้หญิงขับรถก็อาจจะรวยได้ง่ายๆ แถมไม่ต้องแต่งเยอะแยะมากมาย “โน่น นี่ นั่น” เหมือนรถแต่งทั่วไป ติดแค่ขนตาพร้อมอายไลเนอร์สวยๆให้รถแค่จุดเดียวก็ทำให้คนขับสวยขึ้นมาทันที 200% ส่วนคุณผู้ชายคนไหนอยากแต่งแบบนี้ก็ไม่ว่ากัน! ภาพสวยๆในการแต่ง BMW, Jeep, Volkswagen, Mercedes-Benz, Honda, Mini และอีกมากมายพร้อมคลิปผลงานการแต่งของ CarLashes ต่อจากนี้ครับ







วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เตือนภัย :ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆระวังอาการ "เสียงดังในหู"



ดูเหมือนว่า ปัจจุบันนี้การสื่อสารผ่าน “การคุยโทรศัพท์มือถือ” เป็นเสมือนการสื่อสารหลักของผู้คน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือมักจะเป็นทางเลือกแรกๆ ที่ผู้คนเลือกใช้ แน่นอนว่า พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ

บางคนโทรมาก บางคนโทรน้อย บางคนคุยโทรศัพท์มือถือที่ละนานๆ เป็นชั่วโมง …
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือต้องทราบไว้ก็คือ ถึงแม้การสื่อสารผ่านช่องทางนี้จะให้ความสะดวกและรวดเร็ว แต่ถ้าหากมีการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันบ่อยๆ เป็นเวลานาน “คุณ” อาจะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ออาการ “เสียงดังในหู” มากกว่าคนปกติถึงสองเท่า!!!
มีรายงานการวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เวียนนา ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในวารสารออกคิวเปชันนัล แอนด์ เอนไวเรนเมนทัล เมดิซิน โดยผลการวิจัยดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่า การใช้โทรศัพท์มือถืออย่างน้อย 4 ปี เพิ่มความเสี่ยงอาการเสียงดังในหูถึงสองเท่า รบกวนการนอน การทำงาน และยังกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือด้วย

โดยผู้ที่มีอาการดังกล่าว 1 ใน 7 ต้องทรมานกับอาการที่รักษาไม่หายนี้ในบางช่วงของชีวิต การค้นหาสาเหตุเพิ่มเติมจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้คนนับล้านทีใช้โทรศัพท์มือถือ
ในการวิจัยครั้งนี้นักวิจัยออสเตรเลียได้เปรียบเทียบการใช้โทรศัพท์มือถือของกลุ่มตัวอย่าง 100 คนที่เข้ารับการรักษาอาการเสียงดังในหู กับกลุ่มตัวอย่างอายุเท่ากันอีก 100 คนที่ไม่มีอาการดังกล่าว



กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดถูกสอบถามเกี่ยวกับประเภทโทรศัพท์ที่ใช้ สถานที่ที่ใช้ เนื่องจากสัญญาณออกของโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มแรงขึ้นในพื้นที่ชนบท นอกจากนี้นักวิจัยยังสอบถามเกี่ยวกับความถี่และระยะเวลาในการใช้โทรศัพท์ หูข้างที่ชอบใช้ และการใช้อุปกรณ์มือถือ
ซึ่งผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือก่อนมีอาการเสียงดังในหู มีแนวโน้มมีความผิดปกติดังกล่าวเพิ่มขึ้น 37% ส่วนคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือเฉลี่ยวันละ 10 นาที มีแนวโน้มอาการเสียงดังในหูเพิ่มขึ้น 71%


นอกจากนี้ คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือมานาน 4 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มอาการเสียงดังในหูเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบ ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากการแพร่กระจายรังสีของโทรศัพท์มือถืออาจทำลายการทำงานอันละเอียดอ่อนของหูชั้นใน และยังเป็นไปได้ว่าแรงกดที่เกิดจากการกดโทรศัพท์กับหูและไหล่ระหว่างเดิน กระตุ้นให้เกิดอาการเสียงดังในหู ซึ่งอาการดังกล่าวนั้นอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ เช่น รบกวนสมาธิในการทำงาน ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีผลการวิจัยที่ชี้ชัดถึงวิธีการบำบัดอาการดังกล่าว แต่วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว คือการรักษาระดับความถี่ในการใช้โทรศัพท์มือถือให้มีความพอดี ไม่ควรคุยทีละนานๆ และคุยด้วยระดับเสียงที่ปกติ …

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกจะข่มขืน

บทคัดย่องานวิจัยปัจจัยแรกหรือมูลเหตุจูงใจให้ตัดสินใจข่มขืนโดยนางสาวอลิสาแสงขำ นักศึกษาปริญญาโทคณะนิติศาลตร์ (อาชญวิทยาซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาวจำนวน 100 คน-
90% เลือกผู้หญิงผมยาวคือหางเปีย หางม้า ปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย-
87.5% เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย(แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนานเขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกร หรือคัตเตอร์)-
84% เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย(มือถือสามารถนำไปขายต่อได้)หรืออ่านการ์ตูนหรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว-
95.90% เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืนเพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกตอนกลางคืนโดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดีขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ(มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าหากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้วเขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายวัว ควาย)-
99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว(มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับผู้หญิงคนที่ถูกใจจากกลุ่มเพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน)-
80% สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิดเช่น เข็มขัด ลูกกุญแจกระจกส่องหน้า(ต้องทุบให้แตกเป็นแหลมคมก่อน)-

70%เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้นๆกับเขาก่อนขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่นโทษค่ะ กี่โมงแล้วหากใครมีเพื่อนผู้หญิงโปรดแจ้งข้อมูลนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ว่ายน้ำดีอย่างไร ?




มาตระเตรียมอุปกรณ์การลงสระกัน

หมวกว่ายน้ำ การปล่อยผมที่ยาวสยายในสระจะรบกวนการว่ายน้ำของคุณได้ แต่ผมสั้นๆ ไม่ต้องก็ได้ครับ รอจังหวะขึ้นมาจากน้ำแล้วเสยผมเท่ๆ ดีกว่า

แว่นว่ายน้ำ หากหลับตาแหวกว่ายคุณจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า เพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและการลืมตาในน้ำที่มีคลอรีน อาจทำให้หลังว่ายน้ำเกิดการแสบตาได้ ถ้าว่ายกลางแจ้งอย่าลืมเลือกที่กันยูวีด้วยล่ะ

กางเกง กางเกงขาสั้นแบบแจมเมอร์ที่นักกีฬาว่ายน้ำชอบใส่หรือทรงสามเหลี่ยมที่คุ้นเคย แต่ถ้าขาดความมั่นใจเนื่องจากหวิวๆ ใช้เป็นกางเกงผ้าร่มสามส่วนที่ใช้เดินชายทะเลก็ได้ (สระมาตรฐานไม่ให้ใส่ลงนะครับ ^^")



เป็นการใช้เวลาว่างในการเล่นกีฬาที่คุ้มค่ามาก หนุ่มๆ จะแข็งแรงอย่างจริงจังทั้งภายนอก ภายในจนถึงปอดและไม่ต้องเสี่ยงกับอาการแบบเจ็บง่ายๆ เหมือนกีฬาชนิดอื่นๆ

เกร็ดความรู้เล็กน้อยที่จะเสริมการว่ายน้ำของหนุ่มๆ ให้สนุกมีประสิทธิภาพ ไม่ใช้แรงแบบไร้ประโยชน์




ว่ายอย่างไรไปให้เร็ว
การแหวกว่ายด้วยความรุนแรง เช่น การจ้วงสุดกำลัง ตีเท้าน้ำกระจายหมายให้พุ่งไปเร็วๆ เท่ากับเสียแรงเปล่าการว่ายนุ่มนวลเป็นมวลเดียวกับน้ำแต่เน้นการแหลกส่งจะเร็วกว่า แต่ถ้าอยากไปไวจริงๆ ให้เน้นที่การบิดตัวดีกว่า เพราะช่วยเสริมพลังในการส่งให้ตัวพุ่งไปข้างหน้าชัวร์
หุ่นไม่ตันเป็นบางส่วน
ใครที่เตะฟุตบอลหรือปั่นจักรยานจนน่องโป่ง ตีแบดมินตันจนแขนล่ำ ไม่ต้องห่วงเพราะกีฬาว่ายน้ำเป้นการเฉลี่ยออกกำลังกายไปทั้งร่างกาย และว่ายบ่อยก็ไม่ทำให้ ในท่าทางการว่ายต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว คือการบริหารช่วงตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าจะใหญ่โตมากมายบางส่วนครับ



ว่ายน้ำก็เผาผลาญ
หนุ่มหลายคนคิดว่า การวิ่งจนเหงื่อโทรมตัวหรือเล่นบาสเก็ตบอลจนเหงื่อไหลต่างน้ำใช้แรงมากกว่าการว่ายน้ำที่เหงื่อไม่ไหลออกมาแม้แต่เม็ดเดียว แต่เชื่อเถอะการว่ายน้ำได้เผาผลาญจนหมดแรงข้าวต้มแน่ เพราะน้ำมีมวลที่ต้องว่ายผ่าน การเคลื่อนที่จึงต้องใช้แรงไม่เบา สังเกตไหมล่ะหลังว่ายน้ำนานๆ จะหิวมาก
สร้างความท้าทายตอนว่ายน้ำ
การว่ายป๋อมแป๋มไปอย่างไร้จุดหมายหรือลอยตัวอาบแดด จะทำให้การว่ายน้ำไม่สนุกและน่าเบื่อ ดังนั้นลองกำหนดจุดหมายสั้นๆ เช่น ว่ายไป-กลับสองรอบสระ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่ากำหนดเป้าหมายจนเกินตัวนะ เดี๋ยวตะคริวกินกลางสระล่ะงามไส้เลย ความสนุกอยู่ที่เราจะต้องแบ่งแรงการหายใจ ความเร็ว ผ่อนแรงการจ้วงว่ายจนว่ายได้เท่าจุดหมายที่ตั้งไว้ เท่านี้ก็ไปว่ายน้ำคนเดียวได้ไม่กลัวเบื่อแล้ว...

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

HOW TO ENT ' ทำอย่างไรให้ent'ติด

How to Ent’ : ทำอย่างไรให้Ent’ติด

หากถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมัธยมปลายคืออะไร หลาย ๆคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “การสอบเข้ามหาวิทยาลัย” เพราะมันคือก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่งในชีวิต หากเราสามารถเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียง อนาคตก็มีโอกาสที่ดีในการทำงาน การสอบนี้เป็นการสอบแข่งขันจากนักเรียนทั่วประเทศ เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย แล้วเราจะทำอย่างไรให้เอาชนะคนเป็นแสนเพื่อให้เรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ลองมาดูกัน

การที่เราจะสอบติดได้นั้น เราต้องรู้เสียก่อนว่าเราชอบอะไร อยากเป็นอะไร การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะว่า การไม่รู้จักตัวเองทำให้เราไม่มีเป้าหมาย เปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีต้นหนคอยบังคับทิศทาง ถ้าเราไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร และหากเราเลือกเรียนที่เราไม่ชอบ ก็อาจจะต้องไปสอบใหม่ ซึ่งเสียทั้งเวลาและความรู้สึก วิธีการที่เราจะค้นหาตัวเองนั้นมีมากมาย เช่น การเข้าร่วมทำกิจกรรมเยอะ ๆ เพราะการทำกิจกรรม ทำให้เราได้รู้จักการเข้าสังคมใหม่ ๆ การพบเจอผู้คนที่หลากหลาย ทำให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ อีกทั้งสมัยนี้ อินเทอร์เน็ต ทำให้โลกของเราแคบลง การจะหาข้อมูลต่าง ๆก็สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น จึงไม่เป็นการยากเลยที่เราจะศึกษาหาข้อมูล อีกวิธีหนึ่งก็คือ การเข้าไปที่มหาวิทยาลัยเลย สถาบันส่วนใหญ่จะมีวันเปิดบ้าน ซึ่งเป็นการแนะแนวการศึกษาต่อจากรุ่นพี่ ที่คอยให้คำปรึกษา ไขข้อสงสัยให้กับน้อง ๆถ้ารู้ว่าเราชอบอะไร และได้เรียนในสิ่งที่ชอบต่อให้เนื้อหาที่เรียนยากอย่างไร เราก็ยังมีความสุข และชีวิต4ปีในรั้วมหาวิทยาลัยของเราก็คงไม่เสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน

เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้วก็ต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเข้าคณะไหน มหาวิทยาลัยใด แล้วจึงมุ่งมั่นเข้าหาเป้าหมายที่เราตั้งไว้ด้วยใจที่มุ่งมั่น ไม่ไขว้เขว การที่เรามีความฝันเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เรายิ่งมีความพยายามในการอ่านหนังสือ ไม่ย่อท้อ มีหลายคนที่มีเป้าหมายแต่กลับไม่ยอมทำให้สำเร็จ เพราะกลัวบ้าง ไม่มั่นใจบ้าง กลัวสู้คนอื่นไม่ได้บ้าง ให้เลิกคิดไปได้เลยว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม เพราะฉะนั้นเราต้องความฝันของเราให้เป็นจริงให้ได้ !

กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญในการสอบไม่แพ้กัน คนเราจะมีแรงขึ้นมาเมื่อได้รับกำลังใจจากนที่เรารัก หากเปรียบการสอบเป็นสงคราม ฝ่ายที่ได้รับกำลังใจมากกว่าก็จะทำให้เกิดใจสู้ พยายามที่จะฟาดฟันและสังหารคู่ต่อสู้ให้ดับดิ้น เราสามารถหากำลังใจได้จากที่ไหนบ้าง ? กำลังใจนั้นหาได้รอบตัว อันดับแรกเลยก็คือกำลังใจจากพ่อแม่ เพราะกำลังใจจากพ่อแม่นั้นเป็นกำลังใจที่ดีที่สุด คงไม่มีใครจะรักและห่วงใยเราเท่าพ่อแม่อีกแล้ว ยามใดที่เราอ่อนล้า และหมดกำลังใจ ก็จะมีท่านทั้งสองคอยเดิมพลังใจให้เรา พร้อมที่จะสานฝันต่อไป กำลังใจจากเพื่อนก็เป็นมีส่วนสำคัญอีกเช่นกัน เพราะวัยรุ่นเพื่อนจะมีอิทธิพลกับเรามากที่สุด หากเราเครียดก็คุยกะปรึกษากับเพื่อนได้ เพราะอย่างน้อยเพื่อนก็สอบเหมือนกับเรา มีอะไรก็คุยกันรู้เรื่อง และจะได้ช่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อีกกำลังใจที่สำคัญก็คือการสร้างแรงบันดาลใจ บางคนที่เป็นลูกคนโตก็อยากจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับวงศ์ตระกูล จึงเอาความคิดนี้มาเป็นแรงบันดาลใจ การจินตนาการว่าเราได้ใส่เครื่องแบบในสถาบันที่อยากเรียนก็ช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นได้เหมือนกัน เราต้องหาแรงบันดาลใจให้เจอ และจงใช้มันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงที่จะทำให้เราขับเคลื่อนเข้าหาความฝันที่รออยู่ในอนาคต

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งต้องรู้จักเทคนิคการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือเป็นปัจจัยหลักในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเห็นได้ว่าหลายคนดูเหมือนว่าจะอ่านหนังสือมาเยอะ แต่เวลาสอบจริง ๆกลับสอบได้คะแนนน้อย เพราะอ่านเอาแต่ปริมาณ แต่ไม่ได้คุณภาพ อันดับแรกเลยคือเราต้องทำตารางอ่านหนังสือ ว่าจะอ่านอะไร วันไหน วิชาอะไรบ้าง เพราะตารางอ่านหนังสือนี้จะช่วยให้เรามีหลักในการอ่าน ที่สำคัญคือเราต้องมีความรับผิดชอบ วางแผนแล้วต้องทำให้ได้ ไม่ใช่คิดแล้วไม่ทำ สิ่งที่เราคิดเอาไว้ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย การจับกลุ่มติวกับเพื่อนก็เป็นเรื่องดี การอ่านหนังสือคนเดียวเวลาที่ไม่เข้าใจตรงไหนก็ไม่มีใครอธิบายได้ แต่ถ้าเราติวกับเพื่อนเพื่อนก็จะได้ช่วยเราอธิบาย คลายความข้องใจ การติวนั้นทำให้เราต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะมาติวให้เพื่อน เราจึงได้อ่านหนังสือมาก่อนแล้วรอบนึง ก่อนจะไปอธิบายให้เพื่อนฟัง การอ่านหนังสืออย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้เราสอบติดได้ เมื่ออ่านแล้วต้องรู้จักหาแนวข้อสอบเก่า ๆมาฝึกทำ การฝึกทำข้อสอบทำให้เรามีทักษะ รู้จักแก้ปัญหา และได้ใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีลงไปในข้อสอบ การฝึกทำมาก ๆ จะทำให้เรารู้จัก จุดอ่อน-จุดแข็ง วิชาไหนอ่อนก็อ่านเพิ่ม หรือให้เพื่อนช่วยติวให้ ยิ่งเราฝึกมากเรายิ่งชำนาญ เมื่อเจอข้อสอบจริง ๆก็จะคุ้นเคยและทำได้อย่างสบาย ๆ

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดทำให้เรารู้ได้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ว่าใคร ๆก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ขอแค่เพียงมีความฝัน และไม่ย่อท้อ ต่อให้ฝันจะสูงแค่ไหน เราก็สามารถเอื้อมไปคว้ามันมาได้อย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Le vin










Vin blanc
Un article de Wikipédia, l'encyclopédie libre.
Aller à : Navigation, rechercher
Un verre de vin blanc.Le vin blanc est un vin produit par la fermentation alcoolique de raisins à pulpe non colorée et à pellicule blanche ou noire. Il est traité de façon à conserver une couleur jaune transparente au produit final. La grande variété des vins blancs provient de la grande quantité de cépages, des modes de vinification, mais aussi du taux de sucre résiduel.

Les cépages blancs, qui en réalité sont de couleur verte ou jaune, sont très nombreux dans le monde, donnant des vins blancs dans toutes les régions où pousse la vigne. Les vins doux ou liquoreux sont des vins sucrés : la fermentation est interrompue avant que tous les sucres du raisin ne soient transformés en alcool. Les vins effervescents sont majoritairement blancs. Ce sont des vins où le dioxyde de carbone (gaz carbonique) de la fermentation est maintenu dissous dans le vin. Il redevient gazeux à l'ouverture de la bouteille, donnant la délicate mousse de ce vin de fête par excellence.

Le vin blanc peut aussi porter le nom de « vin technologique » eu égard à la difficulté de vinifier un vin fondé sur l'équilibre de deux paramètres seulement, l'alcool et l'acidité, mais aussi par les techniques récentes qui ont révolutionné la vinification en blanc depuis une quarantaine d'années (utilisation massive du matériel de refroidissement, du pressurage pneumatique ou de la macération pelliculaire).




Vin rouge
Un article de Wikipédia, l'encyclopédie libre.
Aller à : Navigation, rechercher
Un verre de vin rougeUn vin rouge est obtenu par la fermentation du moût de raisins noirs en présence de la pellicule, des pépins et éventuellement de la rafle[1]. Le temps plus ou moins long de cette fermentation varie selon le genre de vin voulu, les caractéristiques de chaque vendange et les traditions liées au terroir de production. C'est la cuvaison qui peut varier d'une semaine au maximum pour obtenir des vins légers et souples, jusqu'à trois ou quatre semaines pour des vins de garde[2]. Ce sont des vins dits tranquilles[3] mais il existe des vins rouges mousseux comme le lambrusco en Italie.


อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

ผลแอปริคอท
ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม
เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย

ถั่วสีน้ำตาลแดง
ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

ส้ม
วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย

ถั่วชนิดต่างๆ
อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

ปลาแซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วย

โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8%








History and Customs...


In the U.S. Mothers' Day is a holiday celebrated on second Sunday in May. It is a day when children honor their mothers with cards, gifts, and flowers. First observance in Philadelphia, Pa. in 1907, it is based on suggestions by Julia Ward Howe in 1872 and Anna Jarvis in 1907.

Although it wasn't celebrated in the U.S. until 1908, there were days honoring mothers even in the days of ancient Greece. In those days, however, it was Rhea, the Mother of the gods that was given honor.

Later, in the 1600's, in England there was an annual observance called "Mothering Sunday." It was celebrated during Lent, on the fourth Sunday. On Mothering Sunday, the servants, who generally lived with their employers, were encouraged to return home and honor their mothers. It was traditional for them to bring a special cake along to celebrate the occasion.

In the U.S., in 1908 Ana Jarvis, from Grafton, West Virginia, began a campaign to establish a national Mother's Day. Jarvis persuaded her mother's church in Grafton, West Virginia to celebrate Mother's Day on the anniversary of her mother's death. A memorial service was held there on May 10, 1908 and in Philadelphia the following year where Jarvis moved.

Jarvis and others began a letter-writing campaign to ministers, businessmen, and politicians in their quest to establish a national Mother's Day. They were successful. President Woodrow Wilson, in 1914, made the official announcement proclaiming Mother's Day a national observance that was to be held each year on the 2nd Sunday of May.

Many other countries of the world celebrate their own Mother's Day at different times throughout the year. Denmark, Finland, Italy, Turkey, Australia, and Belgium celebrate Mother's Day on the second Sunday in May, as in the U.S
.

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เช้านี้ดื่มอะไรดีเพิ่มพลังดี


น้ำมะนาว : ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีก
น้ำขิง : สำหรับคนที่มีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้ว เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหย จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้รู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้
น้ำผักหรือน้ำผลไม้ : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้หายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
น้ำหวาน : น้องๆ ที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี
นมถั่วเหลือง : เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Venice Carnival 2009







Venice Carnival 2009



The Venice Carnival is the largest and most important Venetian festival, an appreciated cocktail of tradition, entertainment, history and transgression in a unique city, a festival that attracts thousands of people from around the world each year. The Carnival has very old origins. It is a festival that celebrates the passage from winter into spring, a time when seemingly anything is possible, including the illusion where the most humble of classes become the most powerful by wearing masks on their faces. The official start of the Venice Carnival dates back to 1296, when the Senate of the Republic made the Carnival official with an edict declaring the day before Lent a public holiday. After an interruption lasting almost two centuries, the tradition of Carnival was rediscovered by the Municipality in 1980 and since then it has taken place every year with success.The 2009 edition, which will go on from February 13 to 24, will be called "Sensation, 6 senses for 6 districts" and will accompany visitors in the discovery of city's charming atmospheres, passing through the districts with a constant appeal to the senses, an invitation to immerse yourself fully into the emotional experience that only the Venice Carnival can give. It is truly a celebration of Carnival in the dark, where the first sense that comes into play is "touch", kicking off the festivities on Saturday, February 14 in the Castello district. A sensory journey based on a show that will bring you plenty of surprises. A program rich with opportunities and fun for all ages, from the Contest for the best mask for children in St. Mark's Square, to the musical programs provided by ALL MUSIC in Santa Margherita and the Medieval and seventh-century music Concerts in Campo San Barnaba, to the reenactment of historical parades at St. Mark. The sense of "taste" will be the focus of the food events in the Cannaregio district, with presentations dedicated to the theme along the streets and the fondamenta (pier). In the Santa Croce district you can attend performances at the street theater, dedicated to experiments with the sense of smell. "Sight" will find its place in the San Polo district, with the installation of mask labs and performances by artists who will include children in their games in Campo San Polo. For young people the evening atmosphere will be enlivened with music in the Campo bella Vienna, a few steps from the Rialto Bridge. Still on the subject of the senses, the Ibernisti swimmers are not to be missed, on the beach of Lido Island. The Carnivals outside of Venice are also fascinating, in cities on land such as Mestre, Treviso or along the Brenta Riviera, where you can watch beautiful parades of allegorical floats, usually on the last weekend of Carnival. An event that adapts to the changes of time and renews itself, always keeping intact the first sense that has made the Venice Carnival unique to the world since the beginning: curiosity. The urge to get involved, to shed the mask of everyday life, and an invitation to participate with our own senses and creativity to be, just once, equal in all of our diversity.






หลายคนมักพูดว่า “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” แต่บางคนก็มัวแต่กระทำจนละเลยคำพูดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ก็อยากได้ยินลูกบอกรัก อยากให้ลูกกอด หอม หรือมีแต่คำพูดดีๆ แต่ในทางกลับกันคนเป็นลูกเองก็ไม่ได้มีความต้องการที่แตกต่างจากพ่อแม่ เท่าใดนัก ทั้งนี้ นอกจากอวัจนภาษา เช่น การกอด หอม ฯลฯ ที่ทุกคนรับรู้ว่าเป็นการแสดงออกเพื่อความรักแล้ว วัจนภาษาก็ไม่ควรมองข้ามไปเช่นกัน พ่อแม่ทุกคนจึงพยายามที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและพูดแต่ สิ่งดีๆกับลูก โดยน้อยคนนักที่จะพูดจาสบถกับลูก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ มันคือสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อและแม่แน่นอน ดังนั้น ลองมาดูกันว่า 10 คำพูดดีๆที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่นั้นมีอะไรกันบ้าง



1. พ่อกับแม่ “รัก” ลูกมากนะ แน่นอนว่าลูกคือดวงใจของพ่อแม่ แต่การที่ละเลยคำพูดง่ายๆและมีค่าขนาดนี้มันก็เป็นสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่พอ ควร เพราะคนหลายคนไม่มีโอกาสที่จะบอกรักลูกในวินาทีสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันไม่ว่าจะเป็นลูก หรือ พ่อแม่ รวมไปถึงคนทุกคน ก็ควรให้ความสำคัญกับความรักและคำพูดไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่พ่อแม่จะไม่มีลูกให้บอกรัก หรือลูกบอกรักในวันที่สายเกินไป ทั้งนี้ อย่ามัวแต่แสดงความรัก และเชื่อว่าลูกรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน เพราะบางเวลาคำพูดก็สำคัญไม่แพ้กระทำเช่นกัน ดังนั้นบอกรักลูกบ้าง เขาจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว พ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน



2.พ่อกับแม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูกมากนะ มันอาจมีบางอย่างที่ลูกขทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจมากป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเป็นสุภาพบุรษ มีน้ำใจ หรือแสดงความสามารถพิเศษให้เห็นอยู่เสมอ พ่อแม่ทุกคนควรลองนึกดูดีๆว่า จุดเด่นของลูกคืออะไร แล้วสิ่งใดที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา ก็ใช้ช่วงเวลาดีๆบอกให้ลูกได้รับรู้บ้างว่า “พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน” เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำนี้มันจะเปลี่ยนเป็นพลังและกำลังใจให้ลูกได้อย่าง มหัศจรรย์ทีเดียว



3.พ่อกับแม่ “สนับสนุน” ลูกเสมอนะ พ่อแม่ทุกคนควรตระหนักอยู่เสมอว่า “ลูกไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ลูก” เพราะฉะนั้นอย่าเอาลูกไปเปรียบเทียบกับตัวเองสมัยเด็กๆ บางอย่างที่พ่อแม่ชอบ ลูกอาจไม่ชอบ มุมมองที่ต่างกัน ถ้าไม่เข้าใจกันก็ทำให้มีปัญหากันได้ และถ้าหากเด็กบางคนถูกบังคับมากๆก็จะรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็นส่วนตัว ไร้อิสระ ท้อแท้ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ขณะที่บางคนโตมาในครอบครัวนักกฎหมาย แต่ต้องการเป็นนักเขียน หรือบางคนมีความต้องการใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นไม่ว่าเขาจะเลือกเป็นอย่างไร หากสิ่งที่เขาตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ก็ควรสนับสนุนพวกเขา เพียงแค่บอกว่า "พ่อกับแม่ยังคงเข้าใจและสนับสนุนลูกทุกเมื่อ ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีและลูกต้องการ"



4. พ่อกับแม่ “เชื่อมั่น” ในตัวลูกเสมอนะ ช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างอาจเข้ามาจนพ่อแม่ตั้งตัวไม่ติด ลูกอาจสูญเสียความมั่นใจในการตัดสินใจหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากใครเคยเจอปัญหาลูกอยู่ในช่วงสับสนแบบนี้ ลองถามตัวเองดูว่า เคยสละเวลาบอกลูกบ้างหรือไม่ว่า “พ่อกับแม่เชื่อมั่นในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อและแม่ก็จะอยู่ข้างลูกเสมอ”



5. พ่อกับแม่ “ขอโทษ” บางครั้งการขอโทษมันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะพูด แล้วยิ่งคนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับความเป็นพ่อและแม่ค่อนข้างสูง ดังนั้น หากพ่อแม่ทำผิดก็จะคิดกันแต่เพียงว่า พ่อแม่ไม่ควรที่จะขอโทษลูก ยิ่งคนเป็นพ่อด้วยแล้ว อาจจะยากขึ้นไปอีกที่จะกล่าวคำว่า “ขอโทษ” กับลูก อย่างไรก็ดี คำขอโทษจากพ่อแม่นั้น ลูกๆเองก็ควรมีเหตุผลและรู้จักบาปบุญคุณโทษด้วย เพราะลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นเสียงหรืออกคำสั่งกับพ่อแม่ไม่ว่าจะประการใดก็ ตาม ทั้งนี้ การที่พ่อแม่กล่าวคำขอโทษกับลูกเมื่อทำผิดพลาดนั้นไม่ได้หมายความว่า ลูกจะดูถูกความเป็นพ่อเป็นแม่ ในทางกลับกันการที่พ่อแม่ยอมรับและกล้าขอโทษนั้น มันยังทำให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองเพราะกล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำ ลงไป อีกทั้งยังเคารพความรู้สึกของผู้อื่นด้วย
6. ลูกเป็น “เด็กดี” ของพ่อกับแม่ พ่อแม่ทุกคนควรทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อนว่า เด็กทุกคนอยากได้รับคำชมเชยและได้ยินคำยืนยันจากพ่อแม่อีกสักครั้งว่า เขาเป็นลูกที่ดีพอหรือไม่ ดังนั้นหากลูกเป็นเด็กดี มีน้ำใจ น่ารักกับทุกคน พ่อแม่ก็ควรชมเชยลูกบ้างว่า "ลูกเป็นเด็กดีของพ่อและแม่มากเพราะการที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันจะทำให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีใน ครอบครัวอีกด้วย



7. แม้เลิกกัน แต่ลูกไม่ต้องเลือกรักข้อนี้จะดีสำหรับครอบครัวที่พ่อแม่มีเหตุที่ต้องเลิกลากันไป ทำให้เด็กตกอยู่ในภาวะสับสน เลือกว่าจะต้องอยู่กับใคร ซึ่งในระหว่างช่วงเวลาสับสนกับการเลือกฝั่งของพ่อและแม่แล้ว ลูกบางคนที่ตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นอาจจะต้องเลือกด้วยว่าจะรักใคร ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะกีดกันลูกไม่ให้เด็กพบอีกฝ่ายหนึ่งเช่น หากลูกอยู่กับแม่ แม่มักจะสอนให้รักแม่ แต่เกลียดพ่อ หรือหากอยู่กับพ่อก็ต้องรักพ่อและเกลียดแม่เป็นต้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ แม้ในที่สุดจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ควรบังคับลูกให้รักใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังไงพ่อกับแม่ก็คือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา



8. พ่อกับแม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นมากเท่าไหร่ เขายิ่งต้องการการยอมรับจากพ่อและแม่มากขึ้นเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วลูกมักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ยอมรับในตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินใจในความรักวัยเด็ก หรือการกระทำต่างๆ ที่ลูกอาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน แม้พ่อแม่จะอยู่คอยดูอยู่ห่างๆ และการที่ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น และเลือกแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ละเลยแต่อย่างใด อีกทั้งยังคงรักและเข้าใจอยู่เสมอด้วย เพียงแค่พ่อแม่บอกกับลูกว่า “พ่อแม่เข้าใจและยอมรับลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม”



9. พ่อกับแม่ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”...นะลูก บางครั้งพ่อแม่อาจจะพูดอะไรบางอย่างที่ลูกฟังแล้วรู้สึกเสียใจกับคำพูดเหล่า นั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่อาจพูดไปโดยที่ไม่ได้คิดว่าลูกจะเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป ดังนั้น หากพ่อแม่ทราบว่าลูกเสียใจกับสิ่งที่ๆได้พูดออกไป ก็ควรอธิบายให้เขาเข้าใจว่า หมายความว่าอย่างไรกันแน่ อย่าให้ลูกเข้าใจผิดๆ แต่ทางที่ดีก็ควรพูดจาให้ชัดเจนตั้งแต่แรกจะดีกว่า 10. ลูกคือ “คนสำคัญ” ของพ่อกับแม่นะ จริงๆ แล้ว ข้อนี้อาจเป็นคำที่สำคัญอันดับแรกๆเสียด้วยซ้ำ เมื่อในความเป็นจริงแล้ว ลูก คือคนสำคัญและคนพิเศษสำหรับพ่อแม่แต่จะมีสักกี่ครั้งที่พ่อแม่ได้บอกให้ลูกรับรู้จากปากของพ่อแม่เองบ้าง เชื่อเถอะว่าหากได้พูดให้ลูกรู้ สิ่งที่จะได้กลับมานั้นมันย่อมมีค่ามหาศาลมากกว่าเป็นไหนๆ เพราะนั่นคือสายใยความรักระหว่างพ่อ แม่ และลูก



ทั้งนี้ พ่อแม่ทุกคนควรกอดลูกบ้างโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น อย่าให้วัยที่เปลี่ยนไปมาทำให้ระยะห่างพ่อ แม่ ลูกห่างกันจนรู้สึกว่าการกอดนั้นเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นการกอดลูกแน่นๆและบอกว่าเขาสำคัญมากแค่ไหน แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่มันจะเป็นความทรงจำที่คนเป็นพ่อ แม่ และลูกจะไม่มีวันลืมได้เลย อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นประโยคธรรมดา จนหลายคนมองข้ามมันไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้เลย แม้การกระทำจะสำคัญมาก เพียงใด แต่คำพูดก็ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่า อย่าลืมว่าในขณะที่พ่อแม่ต้องการได้ยินลูกบอกรัก เขาก็อยากได้ยินจากคุณเช่นกัน