วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555




เชื่อหรือไม่ อาหารถุงทั่วเมืองไทยปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มเกินครึ่ง โดยเฉพาะเมนูที่ปรุงด้วยกะทิ พวกแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน รวม ถึงขนมไทย ที่เข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาติดๆ ด้วยอาหารประเภทผัดและผักลวก

เชื้อโคลิฟอร์ม เป็นแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหาร ที่ทำให้เกิดอาการตั้งแต่อาเจียน เป็นไข้ ปวดศีรษะ ท้องร่วง จนถึงขั้นร้าย แรงคือเสียชีวิตได้ แต่หากจะให้งดอาหารถุงเลยคงเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการกินอาหารถุงให้ปลอดภัยจึงอยู่ที่การเลือกซื้อจากร้านที่ ทำอาหารสะอาด คนขายสะอาด ภาชนะสะอาด มีเตาอุ่นร้อนตลอดเวลา และเมื่อซื้อกลับบ้านแล้วต้องอุ่นให้ร้อนอีกครั้งก่อนรับ ประทาน เพราะเชื้อโรคนี้จะตายเมื่อโดนความร้อน ที่สำคัญควรซื้อแต่พอรับประทานเท่านั้น

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปรัชญามั่วๆ ... เกี่ยวกับความรัก

1. คนดีๆ... ล้วนมีเจ้าของไปหมดแล้ว (เหมือนที่จอดรถ)
2. ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่...มันก็ต้องมีเหตุผลล่ะนะ(ไม่ เหมือนที่จอดรถ)
3. อะไรที่คุณเอะใจว่า.. มันจะดีเกินจริง... เป็นไปได้มากว่า ...มันไม่จริง
4. ความรัก ...ก็เหมือนการรอรถเมล์.... สายที่ไม่อยากขึ้น-ก็มาจัง ..ส่วนสายที่ต้องการจะขึ้น ...ก็รอไปเถอะ...พอมา-ก็ไม่จอด.. พอจอด-ก็คนแน่น-ขึ้นไม่ได้... พอขึ้นได้-รถก็ไปตายกลางทางอีก
5. ความรัก..ก็เหมือนกับเหรียญ... แหวน ..หรือชิ้นส่วนเล็กๆ ...เพราะเมื่อไหร่ที่มันหลุดมือตกลงพื้น ..มันจะต้องกลิ้งไปยังซอกที่มืดที่สุด.. และลึกที่สุด ...จนเรามองไม่เห็น ...และเอื้อมไม่ถึง
6. รถไฟ..อาจจะวิ่งบนราง ...แต่อย่าด่วนสรุปว่า ...มันวิ่งไปทางไหน ...โดยดูจากราง.. เพราะเมื่อเหลียวกลับมามองอีกที ...รถไฟขบวนนั้น..อาจจะวิ่งผ่านคุณไปแล้วก็ได้
7. สวย ..หรือหล่อ ...ไม่ได้อยู่ที่คำจำกัดความ.. แต่อยู่ที่จินตนาการ
8. ความรัก.. สวนทางกับกฎฟิสิกส์.. นั่นคือ ...เมื่อเราให้ความรักกับใครมากเท่าไหร่ ..เราก็จะ ได้รับตอบแทนกลับมา..เป็นสัดส่วนผกผันกลับ
9. เมื่อไหร่..ที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า.. 'เป็นเพื่อนกัน' แปลว่า.. 'ต้องการจะเลิกคบกัน'
10. เมื่อไหร่..ที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า.. 'มีอะไรต้องคุยกัน' แปลว่า .. 'ไม่ต้องการคุยกันอีกแล้ว'
11. ความรัก..ทำให้คนตาบอด .. การแต่งงาน..ช่วยให้คนตาสว่าง

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555



วันนี้เป็นวัน ครบรอบวันเกิดปีที่ 374 นิโคลัส สเตโน ( Nicolas Steno ) นักธรณีวิทยาชาวเดนมาร์ก ผู้ค้นพบหลักหลักและกฏทางธรณีวิทยาที่สำคัญ ได้แก่







กฎการซ้อนทับ
Nicolas Steno เป็นกฎหนึ่งที่มีความสำคัญทางธรณีวิทยา โดยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราพบเห็นตะกอนของหินตะกอน หรือหินภูเขาไฟวางตัวเป็นชั้นๆ ชั้นหินที่แก่กว่าจะอยู่ด้านล่างของชั้นหินที่อ่อนกว่าเสมอ ถ้าบริเวณนั้นไม่ถูกรบกวนโดยกระบวนการธรณีแปรสัณฐานซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงชั้น หินจนเกิดการพลิกตลบกลับได้

กฎการวางตัวแนวราบ
Nicolas Steno เช่นเดียวกันกับกฏการซ้อนทับ โดยกล่าวไว้ว่า “ระนาบชั้นหินภายในหินตะกอนในตอนแรกจะวางตัวในแนวราบเสมอ”

กฎการซ่อนตัวของชั้นหิน
Nicolas Steno กล่าวไว้ว่า “ที่บริเวณขอบของชั้นหิน จะพบการหายไปของชั้นหิน ทำให้เห็นหินโผล่ออกมา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบายว่าเป็นเพราะอะไร เช่น จากการกร่อน จากการคดโค้ง จากการเลื่อนหรือจากภูเขาไฟ ฯลฯ

ธรณีประวัติ

1.อายุทางธรณีวิทยา เป็นอายุที่เกี่ยวกับการเกิดของโลกทุกอย่างที่อยู่ใต้ผิวดินจะเกี่ยวข้องกับธรณีวิทยาทั้งสิ้น จึงต้องมีการให้อายุเพื่อลำดับขั้นตอน เหตุการณ์ ว่าหิน ดิน แร่ ซากดึกดำบรรพ์ที่พบใต้ผิวโลก (จากการเจาะสำรวจ) หรือโผล่บนดินเกิดในช่วงใดเพื่อจะได้หาความสัมพันธ์และเทียบเคียงกันได้ มีหน่วยเป็นล้านปี อายุทางธรณีวิทยานอกจากเป็นตัวเลขแล้ว ยังมีชื่อเรียกซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ชื่อตามชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีการพบซากดึกดำบรรพ์ การศึกษาหาอายุทางธรณีวิทยา หาได้ 2 ลักษณะ คือ
1.1อายุเทียบสัมพันธ์หรืออายุเปรียบเทียบ เป็นช่วงระยะเวลาอายุทางธรณีวิทยาโดยศึกษาจากชั้นหินหรือลำดับชั้นหิน ลักษณะทางธรณีวิทยาหรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่นๆ โดยนำมาเปรียบเทียบสัมพันธ์ซึ่งกันและกันกับดรรชนีต่างๆ รายงานวิชาการอื่นๆ ที่พบในชั้นหิน เช่น หาจากซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่พบอยู่ในหินว่าเป็นสกุลและชนิดใด เป็นต้น ซึ่งศาสตร์นี้ต้องเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งแทนที่จะบ่งบอกเป็นจำนวนปี

ตัวอย่าง ชั้นหินที่อยู่ล่างจะเกิดก่อนชั้นหินที่วางทับอยู่ เรียกกฎนี้ว่า "กฎการลำดับชั้น" (Law of Super- position) ผู้ตั้งกฎนี้คือ นิโคลัส สตีโน (Nicolaus Steno) และ "การที่หินอัคนีที่แทรกตัดเข้าไปในหินอีกชนิด หินอัคนีที่แทรกไปนี้จะมีอายุอ่อนกว่าหินที่ถูกตัด" เรียกกฎนี้ว่า "กฎความสัมพันธ์ของการตัด" (Law of Cross-cutting Relationship)

เวลาสัมบูรณ์ (absolute time) หาได้จากอัตราการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี หรือธาตุไอโซโทปซึ่งมีอะตอมของธาตุเดียวกัน แต่มีจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียสต่างกัน ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่มีเสถียรภาพ จะสลายตัวและปล่อยอนุภาคออกมา เวลาที่ใช้ไปในการทำให้อะตอมของธาตุที่มีอยู่เดิมสลายไปครึ่งหนึ่งเรียกว่า "ครึ่งชีวิต" (half life) โดยธาตุสุดท้ายที่เหลือจากการสลายตัวคือธาตุตะกั่ว เนื่องจากทราบอัตราการสลายตัวของธาตุที่แน่นอนในแต่ละธาตุ นักวิทยาศาสตร์จึงนำมาใช้คำนวณหาอายุสัมบูรณ์ของหินที่มีธาตุกัมมันตรังสี อายุที่ได้ถือว่าเป็นเวลาสัมบูรณ์ ธาตุที่นิยมใช้ได้แก่ ยูเรเนียม ทอเรียม โพแทสเซียม และคาร์บอน ซึ่งมักพบในแร่และหินมากน้อยต่างกัน จากงานวิจัยทำให้ทราบค่าเฉลี่ยของธาตุไอโซโทปเหล่านี้ว่าปกติมีปริมาณเท่าใด

คุณสมบัติของธาตุกัมมันตรังสีที่เหมาะในการใช้หาอายุจะต้อง
1. มีอัตราการสลายตัวที่สม่ำเสมอ
2. มีครึ่งชีวิตที่นานพอสมควร
3. ควรเป็นธาตุที่พบทั่วไปในวัสดุที่เป็นเปลือกโลก

ธาตุกัมมันตรังสีที่นิยมใช้หาอายุหิน มียูเรเนียม 238 ซึ่งมีครึ่งชีวิตถึง 4.51พันล้านปี ธาตุสุดท้ายที่ได้จากการสลายตัวคือตะกั่ว โพแทสเซียม 40 มีครึ่งชีวิต 1.31 พันล้านปี และพบมากในหินอัคนี

กรณีต้องการหาอายุซากพืช-สัตว์ นิยมใช้ คาร์บอน-14 ซึ่งมีครึ่งชีวิต 5568 ปี ส่วนใหญ่ใช้หาอายุวัตถุโบราณ ซึ่งมีอายุสูงสุดประมาณ 40,000 ปี (ไม่เกิน 100,000 ปี) คาร์บอน-14 ที่พบในธรรมชาติเกิดจากรังสีคอสมิกชนนิวเคลียสของธาตุไนโตรเจน หลัง จากนั้นจะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และเข้าสู่วงจรคาร์บอน ผู้ค้นพบวิธีหาอายุแบบนี้คือ ดร.ดับเบิลยู. เอฟ.ลิบบี

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555



เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน

หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.

การฉลองรับปีใหม่แบบแปลกๆ




ยังพอมีควันหลงบรรยากาศฉลองปีใหม่ทั่วโลกให้ได้เห็นกัน โดยเฉพาะประเพณีความเชื่อแบบแปลกๆ สุดแหวกแนวในหลายท้องถิ่นหลายประเทศ ที่ว่ากันว่าปฏิบัติสืบทอดกันมานานแล้วเหมือนกัน นอกเหนือจากการเฉลิมฉลองแบบพื้นๆ ธรรมดาๆ อย่างจัดปาร์ตี้ร่ำสุรา จุดพลุดอกไม้ไฟ หรือแบบเราที่นิยมเข้าวัดสวดมนต์และทำบุญตักบาตรเพื่อรับสิ่งอันเป็นมงคลเข้าสู่ชีวิต

การฉลองรับปีใหม่แบบแปลกๆ ตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นที่ว่าจะพิสดารหรือแหวกแนวแค่ไหนลองพิศกันดู

@ แขกคนแรก

ตามความเชื่อของชาวสกอตแลนด์ เขามีประเพณีที่เรียกว่า "ฮอกมาเนย์" เชื่อกันว่า บุคคลแรกที่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนแปลกหน้าที่ก้าวมาอยู่หน้าประตูบ้านหลังเที่ยงคืนเข้าสู่วันปีใหม่ ซึ่งอาจต้องมีของติดไม้ติดมือมาด้วยอย่างเช่น เกลือ ถ่าน หรือขนมปังชอร์ตเบรด จะนำความโชคดีมาสู่เจ้าของบ้านหลังนั้นตลอดทั้งปี เจ้าของบ้านหลังนั้นเองก็จะจัดเลี้ยงต้อนรับทั้งอาหารและเครื่องดื่มอย่างเต็มที่แก่แขกผู้มาเยือนคนแรกเป็นการตอบแทน ว่ากันว่าตามความเชื่อของชาวสกอตแลนด์ "แขกคนแรก" ที่เจ้าของบ้านอยากให้มา เป็นชายรูปร่างผอมสูงมากกว่า แต่ไม่ได้มีการให้เหตุผลว่าทำไม

@ กางเกงในนำโชค

หลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ที่มีชายหาดสวยงามอย่างใน บราซิล อุรุกวัย เวเนซุเอลา และเปรู การจัดปาร์ตี้ฉลองบนชายหาดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตในทุกๆ ปีของการเฉลิมฉลองวันปีใหม่ นอกจากการจัดเดินขบวนพาเหรดหรือจุดพลุดอกไม้ไฟอันยิ่งใหญ่อลังการ ผู้คนในแถบนี้ยังมีความเชื่อของ "สีกางเกงใน" ที่ใส่ฉลองรับวันปีใหม่กันด้วย เชื่อกันว่าสีของกางเกงในที่สวมใส่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความโชคดี โดยสีที่คนนิยมสวมใส่มากที่สุดคือ สีแดง มีความหมายถึง "ความรัก" และ สีเหลือง หมายถึง "เงินทอง หรือความร่ำรวย" ใครอยากได้สิ่งไหนเป็นของขวัญวันปีใหม่ก็เลือกสีใส่กันเอาเอง

@ กินองุ่น 12 ผล

ทันทีที่นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนครั้งแรกจนครบ 12 ครั้งของการเข้าสู่วันปีใหม่ ชาวสเปนจะพยายามกินองุ่นให้ได้ 12 ผลภายในช่วงเวลาดังกล่าว ภายใต้ความเชื่อที่ว่า หากกินองุ่นครบ 12 ผลสำเร็จในชั่วเวลาที่นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน จะนำพาความโชคดีมาสู่ชีวิตตลอดทั้ง 12 เดือนของปี

@ เขวี้ยงจาน

หากใครเห็นเศษจานชามเกลื่อนหน้าประตูบ้านของชาวเดนมาร์กในช่วงวันปีใหม่ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะเป็นความเชื่อที่ยึดปฏิบัติกันมานานว่า หากสามารถเขวี้ยงจานชามใส่หน้าประตูบ้านให้แตกละเอียดเป็นเศษซากได้มากชิ้นเท่าไร จะยิ่งนำพามิตรภาพมาสู่บ้านหลังนั้นมากเท่านั้น นอกจากนี้ ชาวเดนมาร์กยังนิยมก่อกองไฟรอบต้นคริสต์มาส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป

@ เผาหุ่น

การฉลองปีใหม่แบบความเชื่อเก่าๆ ของชาวปานามา ค่อนข้างจะรุนแรงสักหน่อย โดยจะมีการเผาหุ่นคนที่เป็นบุคคลสาธารณะ เรียกพิธีกรรมนี้ว่า "มูเนคอส" หุ่นคนเป็นตัวแทนของปีเก่า ซึ่งการเผาหุ่นก็หมายถึงการทำลายสิ่งเก่าๆ เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า

@ กินกะหล่ำ

ในประเทศเยอรมนี ไอร์แลนด์ และบางท้องถิ่นในประเทศสหรัฐอเมริกา มีความเชื่อเกี่ยวกับการกินผักกะหล่ำนำโชค เนื่องจากผักกะหล่ำมีสีเขียว เหมือนกับเงิน และเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้.....